เทคโนโลยี Bluetooth ที่เรารู้จัก ทำไมถึงใช้ชื่อนี้กันนะ ใครสงสัยบ้าง



   ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหลายๆ คนก็คงรู้จักการรับส่งไฟล์ผ่านสัญญาณ Bluetooth หรือบางคนก็อาจจะลืมไปแล้ว ก็เป็นได้ ย้อนกลับไปในยุคที่เรายังไม่สามารถใช้งาน Wi-Fi เพื่อส่งข้อมูลระหว่างมือถือกับมือถือร่วมกันได้ เราก็ใช้งานเจ้า Bluetooth นี่ล่ะในการรับส่งไฟล์ (หรือจะรับส่งผ่านระบบ Infrared .. ก็ได้นะ คงไม่มีใครใช้กันแล้วล่ะมั้ง)
ไม่ว่าจะเป็นไฟล์รูปภาพ ไฟล์เพลง หรือไฟล์ต่างๆ ภายในมือถือของเรา ก็สามารถส่งแบบไร้สายผ่าน Bluetooth ได้ แต่ความเร็วของมันในสมัยนั้น ช้ามากเหลือเกิน . .  ถ้าเทียบกับสมัยนี้ กว่าจะส่งไฟล์หลายๆ ไฟล์พร้อมกัน ก็รอกันเป็นวันๆ เลยล่ะ
นอกจาก Bluetooth จะรับส่งไฟล์ผ่านอุปกรณ์ได้แล้ว ในสมัยนี้ก็ยังใช้งานเพื่อซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ อย่างเช่น Smart Watch และฟังเพลง ผ่าน หูฟังไร้สาย ได้อีกด้วย ในเวอร์ชั่นใหม่ๆ ก็จะสามารถใช้งานได้นานและรับส่งข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น
แต่เดี๋ยวก่อนเจ้า Bluetooth ที่เรารู้จักกันมาช้านานนี้ มีความเป็นมายังไงล่ะ ทำไมถึงชื่อ Bluetooth ที่แปลตรงตัวว่า 'ฟันสีฟ้า' งั้นหรอ ? ก็คงไม่ใช่ล่ะมั้ง งั้นเราไปดูประวัติคร่าวๆ และที่มาของชื่อ เทคโนโลยี Bluetooth ตัวนี้กันได้เลย

Bluetooth นั้นมาจากชื่อของกษัตริย์  ที่มีชื่อว่า พระเจ้าฮาราลด์ บลูทูธ (King Harald Bluetooth)

ที่ใช้ชื่อนี้ ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกษัตริย์ Bluetooth ผู้ปกครองประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย ซึ่งในปัจจุบันเป็นกลุ่มผู้นำในด้านการผลิตโทรศัพท์มือถือป้อนสู่ตลาดโลก และระบบ Bluetooth นี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับโทรศัพท์มือถือ และเริ่มต้นจากประเทศในแถบนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับเทคโนโลยี Bluetooth ถูกใช้เป็นเครือข่ายที่ส่งต่อข้อมูลระหว่างบุคคล (Personal Area Networks - PAN) โดยพัฒนามาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ประกอบไปด้วย บริษัท  Ericsson IBM Toshiba Nokia และ Intel และหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ ที่มี่ชื่อว่า Jim Kardach ได้เสนอให้ใช้ โค้ดเนม ว่า "Bluetooth" ในการเรียกชื่อเทคโนโลยีนี้ ก่อนที่จะตั้งชื่ออย่างเป็นทางการและใช้งานต่อมาในปัจจุบัน
แต่เรื่องราวดั้งเดิมที่เป็นที่มาของชื่อ พระเจ้าฮาราลด์ บลูทูธ นั้นก็ไม่อาจจะไม่อาจจะมีใครรู้ได้ แต่ก็มีความคิดเห็นส่วนใหญ่ ว่ากันว่า "พระเจ้าฮาราลด์ บลูทูธ นั้นชอบทาน ผลบลูเบอร์รี่มากๆ" แต่ก็ไม่มีข้อมูลใดๆ ในประวัติศาสตร์คอนเฟิร์มล่ะนะ ส่วนอีกเรื่องนึงที่เล่ากันต่อมา ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า "พระเจ้าฮาราลด์ นั้นมีฟันสีฟ้า นั่นหมายถึง สีที่มืด หรือ สีดำ ในภาษานอร์สโบราณ" ที่มีความหมายว่า ฟันที่ไม่สวย หรือ ฟันผุ นั่นเอง

ที่มา : www.techspot.com , th.wikipedia.org

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นักวิเคราะห์คาด! IPHONE รุ่นปี 2018 จะมี 3 รุ่น มาพร้อมหน้าจอ OLED ทั้งหมด